ช่วงนี้อ่านหนังสืออยู่เล่มนึงค่ะ พี่สาวที่น่ารักแนะนำมาเลยลองเริ่มอ่านดู จริงๆ เล่มนี้เป็นหนังสือที่เพื่อนสนิทเคยแนะนำมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่ได้ฤกษ์อ่านสักที จนพี่สาวซึ่งทำเพจชวนอ่านเล่าให้ฟังว่าเล่มนี้เขียนดีมากๆ เลยได้นึกถึงและลองหยิบมาอ่านดูค่ะ
(ขอโฆษณาเลยละกัน ใครชอบอ่านหนังสือฝากติดตามเพจ หมอแพมชวนอ่าน นะคะ)
Buddha’s brain (สมองแห่งพุทธะ) เป็นหนังสือที่ออกมาเป็นสิบปีแล้ว เขียนโดย Rick Hanson, PH.D. และ Richard Medius, MD นักจิตวิทยาด้านประสาทวิทยา และนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางประสาทวิทยา ซึ่งนอกจากการเป็นแพทย์แล้วทั้งสองท่านยังเป็นนักปฏิบัติธรรม และครูสอนปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปีแล้วเช่นกัน
โดยหลักๆ ของหนังสือพูดถึงความสัมพันธ์ของสมองกับจิตใจ และการที่เราฝึกจิตใจนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงสมองของเราไปในทิศทางบวก เพื่อนำพาความสุข ความรัก ความสัมพันธ์อันดี และสติปัญญามาสู่ชีวิตและจิตใจของเราได้อย่างไรบ้าง
ส่วนที่กวางอ่านยังเป็นช่วงต้นๆ ของหนังสือแต่ก็คิดว่าดีมากและมีเรื่องที่อยากเอามาแชร์กันค่ะ
ช่วงที่หนังสือพูดถึงว่าพระพุทธเจ้าในฐานะครูตลอด 40 ปีของท่านนั้นสอนอะไรบ้าง เค้าบอกว่าหลักๆ ท่านสอนอยู่สามเรื่องคือ คุณธรรม การมีสติรับรู้ และปัญญา (Virtue, Mindfulness and Wisdom)
คุณธรรม
คือการใส่ใจกับคำพูด การกระทำ และความคิดของเราให้เป็นไปในทางที่สร้างประโยชน์มากกว่าโทษ ทั้งกับตัวเราเองและกับผู้อื่น
การมีสติรับรู้
คือการเลือกรับรู้และใส่ใจอย่างฉลาด เพราะสมองนั้นเรียนรู้จากสิ่งที่เราเลือกใส่ใจ ดังนั้นเราจึงควร “มีสติ” และ “เลือก” ที่จะรับสิ่งที่เป็นบวก ทั้งความคิด การกระทำ และคำพูดที่เป็นพลังบวก (หรือแม้แต่คำติเพื่อก่อ)
แต่ขอให้มีสติในการเลือกรับเพราะสิ่งที่เรารับเข้ามานั้นจะก่อร่างสร้างตัวเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรานั่นเอง
ปัญญา
เค้าพูดถึงในส่วนนี้ว่าปัญญาคือ สามัญสำนึกใหม่ที่จะเกิดขึ้นผ่านการฝึกฝนใจ
โดยในการฝึกใจนี้คุณเรียนรู้อย่างแรกก่อนว่า สิ่งไหนที่ทำให้คุณเจ็บและสิ่งไหนที่ช่วยให้คุณหายเจ็บ จากนั้นอย่างที่สองคือคุณเรียนรู้ที่จะปล่อยวางจากสิ่งที่ทำให้คุณเจ็บ และพัฒนาสิ่งที่ช่วยให้คุณหายเจ็บ
ทำให้ในระยะยาวคุณจะรู้สึกถึงความเชื่อมโยงและเป็นส่วนหนึ่งกับสิ่งต่างๆ รอบตัวคุณมากขึ้น มีความสงบและมั่นคงต่อความเปลี่ยนแปลงและการเกิดดับ ทำให้เราเผชิญกับความสุขและความทุกข์ได้ด้วยใจที่เป็นกลางมากขึ้น
อย่างคำอธิบายที่ว่าสมองนั้นเรียนรู้จากสิ่งที่เราเลือกใส่ใจ ทำให้ยิ่งเข้าใจในเรื่องพลังของการโฟกัส ว่าถ้าเราเลือกมองในสิ่งที่ดี ชีวิตเราก็จะดี และเราสามารถมีความสุขได้ทันทีจากการเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อชีวิตของเราเอง
ซึ่งเรื่องนี้ตอนที่กวางได้เรียนกับโค้ชด้าน Self love ก็ได้มีประสบการณ์ที่ทำให้เห็นแล้วว่าเราสามารถเลือกที่จะมองและเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้จริงๆ
พอตอนนี้มาอ่านหนังสือที่อธิบายเชื่อมโยงไปกับสมองก็ยิ่งรู้สึกถึงพลังของตัวเราเองในการที่จะสร้างและเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเราเอง
หลายครั้งการอ่านหนังสือก็เป็นการสะท้อนมุมมองต่างๆ ไปมาในหัวของเราเอง และหลายครั้งที่กวางอ่านหนังสือบางเล่มจบแล้วมุมมองที่มีต่อเรื่องบางเรื่องของกวางนั้นเปลี่ยนไปตลอดกาล
—
ช่วงหลังๆ กวางเริ่มชอบอ่านหนังสือพุทธที่เขียนโดยพระ/ ฆราวาสชาวต่างชาติมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าอ่านแล้วเข้าใจง่าย เป็นเหตุเป็นผลในการอธิบาย ไม่ได้พูดในเชิงของความเชื่อหรือต้องเชื่อ ทำให้การศึกษาเรื่องนี้ของเรามีความเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าจะเป็นความศรัทธาค่ะ
ซึ่งก็เป็นมุมมองใหม่ที่ต่างจากศาสนาพุทธที่เราเคยเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ทำให้รู้สึกสนใจที่จะศึกษามากขึ้น (และต่อต้านน้อยลง ) ยิ่งหนังสือบางเล่มที่เค้าไปเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาถอดความแบบตรงๆ จากภาษาต้นฉบับเรายิ่งเห็นว่าโห พระพุทธเจ้าเป็นครู เป็นครูที่มีศิลปะในการสอนให้เข้ากับผู้เรียน
มันลดความศรัทธาแบบความเชื่อแต่เพิ่มความเข้าใจ และเห็นความเป็นมนุษย์และความเป็นครูของท่านมากขึ้นด้วย
ซึ่งในระดับสากลเค้าก็จะมองท่านแบบไม่ได้ยกไว้สูงเกินไป แต่เรียนรู้และถอดความหมายของสิ่งที่ท่านสอนอย่างเป็นเหตุเป็นผลจริงๆ ทำให้เรารู้สึกว่าการเรียนรู้แบบนี้เราสามารถเข้าถึงและจับต้องได้ง่ายกว่าด้วยค่ะ (อันนี้แชร์กันนะคะ อย่ามาดราม่าเก๊าน้าา )
อยากชวนมาอ่านหนังสือจริงๆ ค่ะ
ของกวางสองเล่มที่เปลี่ยนชีวิตคือ The obstacle is the way (อุปสรรคคือทางออก) ของ Ryan Holiday และ Deep Work : Rules for focused success in a distracted world ของ Cal Newport (เล่มนี้ออกมาห้าหกปีแล้วยังไม่มีใครแปลเลย รอร๊อรอใครช่วยแปลที)
เผื่อใครสนใจเล่มที่พูดถึงด้านบนชื่อ The Island : An analogy of the Buddha’s teachings on Nibbana โดย Ajahn Pasanno & Ajahn Amaro ค่ะ