ในหน้านี้กวางรวบรวมคำถามเกี่ยวกับโยคะและการฝึกโยคะที่มีเพื่อนๆ ถามกันเข้ามาบ่อยๆ
กวางจะอัปเดตเขียนเพิ่มเรื่อยๆ นะคะ หวังว่าจะมีประโยชน์นะคะ 😊🙏
ฝึกได้ค่ะ ข้อดีอย่างหนึ่งของการฝึกโยคะคือไม่ใช่กีฬาที่หนักเกินไป มือใหม่สามารถฝึกตามไปได้เรื่อยๆ โยคะเองถ้าเรียนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนก็จะมีการสอนที่ค่อยๆ ไต่ระดับจากง่ายไปยากอยู่แล้ว ถ้าเราสามารถเลือกไปฝึกตามสตูดิโอโยคะ หรือเลือกฝึกกับคอร์สออนไลน์ที่จัดมาสำหรับการเรียนตั้งแต่ขั้นพื้นฐานโดยตรงก็จะง่ายในการเริ่มต้นและจะเข้าใจการฝึกที่เป็นพื้นฐานจริงๆ ค่ะ
ในการฝึกช่วงแรกเราไม่ได้ต้องทำท่าได้เยอะหรือทำท่าได้สวย เราทำได้แค่ไหนก็คือแค่นั้น บางทีอาจจะมีติดพุงบ้าง บางคนนั่งยองได้ไม่เต็มเท้าบ้าง ก็เป็นปกติค่ะ เริ่มฝึกจากจุดที่เราเป็นอยู่จริงๆ แล้วค่อยๆ ฝึกฝนพัฒนาไป ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของโยคะคือเราไม่จำเป็นต้องทำท่าได้สวยจึงจะได้ประโยชน์จากการฝึกโยคะ เพียงแค่เราเริ่มต้นฝึกแค่ไม่กี่ครั้ง เราก็จะสัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเราได้แล้วค่ะ
ถ้าเป็นนักเรียนใหม่ หรือแม้แต่นักเรียนเก่าที่หยุดฝึกไปนานเกินหนึ่งปี กวางมักจะแนะนำให้เริ่มจากการเรียนพื้นฐานก่อน คลาสพื้นฐานตามความเข้าใจของคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเป็นท่าง่าย แต่กวางบอกได้เลยว่าการจะเข้าท่าพื้นฐานให้ได้เต็มสุดท่าและทำได้สวย ไม่ง่ายเลยค่ะ ถ้ามีโอกาสได้ฝึกอยู่กับพื้นฐานสักระยะหนึ่งในช่วงเริ่มต้น ท่าเหล่านี้จะช่วยสร้างรากฐานความยืดหยุ่น ความแข็งแรง รวมถึงความอึดให้กับเราได้เป็นอย่างดี และยังช่วยให้เราต่อยอดไปสู่การฝึกท่าที่ยากขึ้นได้ด้วยค่ะ
ไม่ได้ฝึกผิดค่ะ โยคะเป็นการฝึกที่มีท่าก้ม – เงยซึ่งแตกต่างจากกีฬาอื่น เวลาที่เราก้ม – เงย ความดันในร่างกายจะเหวี่ยงขึ้นลง ซึ่งหลายคนที่ไม่เคยฝึกมาก่อนอาจจะไม่เคยชินในระยะแรก ทำให้มีอาการเวียนหัว แนะนำว่าฝึกแรกๆ ให้ก้ม – เงยช้าๆ ค่อยๆ ทำ ถ้าเวียนหัวก็ให้หยุดพัก นั่งลงมาก่อนจนกว่าอาการเวียนหัวจะดีขึ้นจึงค่อยตามคลาสต่อ และอาการเหล่านี้จะหายไปเองเมื่อฝึกสักระยะหนึ่งค่ะ (ไม่เกินสาม-สี่ครั้งเมื่อฝึกต่อเนื่อง)
โดยทั่วไปกวางมักจะแนะนำให้ฝึกอย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์และอย่างมากที่สุดคือไม่เกิน 6 วันต่อสัปดาห์ (ควรมีวันพักอย่างน้อย 1 วัน) โดยฝึกครั้งละ 25 นาที – 1 ชั่วโมง แต่ตัวเลขเหล่านี้ก็ไม่ได้ตายตัวค่ะ
มีคนเคยพูดว่า “โยคะที่ดีที่สุดคือโยคะที่เราทำได้บ่อยที่สุด” ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น 10 นาที 20 นาที 30 นาที หรือแม้กระทั่ง 5 นาที ถ้ามันจะช่วยให้คุณฝึกได้บ่อยขึ้นก็ถือว่าเราได้ประโยชน์จากการฝึกโยคะนั้นแล้ว
เพราะการฝึกโยคะแท้จริงแล้วก็คือการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความแข็งแรงและยืดหยุ่นให้กับร่างกาย และในช่วงเวลาที่ฝึก จิตใจของเราก็จะได้กลับมาอยู่กับร่างกายและลมหายใจ เป็นช่วงเวลาที่จิตได้พักผ่อน ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงไม่นาน แต่ก็เกิดผลดีกับร่างกายและจิตใจของเราอย่างแน่นอน และเมื่อเราฝึกบ่อยเข้าสิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นนิสัยที่นำเราไปสู่สุขภาพกายใจที่ดีในที่สุดค่ะ
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หาเวลาฝึกยาก เราก็ทำเท่าที่ได้ไปก่อน แล้วถ้าเป็นไปได้ นานๆ ทีกวางก็อยากแนะนำว่าอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ (หรือเดือนละครั้งก็ยังดี) หาเวลาฝึกคลาสเต็มแบบ 1 ชั่วโมงบ้าง เพราะคลาสแบบ 1 ชั่วโมงจะช่วยสร้างความอึดให้กับร่างกายของเรา ช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ไวขึ้นด้วยค่ะ
ใครมีคำถามเรื่องไหนก็สามารถทิ้งคำถามไว้ใต้โพสต์นี้ได้นะคะ แล้วกวางจะทยอยเอามาตอบเพื่อเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ด้วยค่ะ
วันนี้มาตอบคำถามเรื่องที่โดนถามบ่อยเกือบจะที่สุดคือ โยคะช่วยลดนำ้หนักมั้ย? และตอนนี้กวางกำลังอ่านหนังสือเล่มนึงชื่อ “วิทยาศาสตร์ความอ้วน” อยู่ ถ้าอ่านจบจะหาโอกาสเอามาแชร์เพิ่มเติมนะคะ คิดว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจมากๆ เกี่ยวกับเรื่องการลดน้ำหนักอยู่ (สปอย – ร่างกายมันซับซ้อนและฉลาดกว่าที่เราคิด) ใครอยากไปหามาอ่านก่อนก็แนะนำเลยค่ะ
1. ถ้าต้องการให้รูปร่างกระชับสมส่วน โยคะช่วยได้มั้ย หรือต้องเล่นเวทและคาร์ดิโอเพิ่มรึเปล่า
เรื่องนี้เราต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อนเพราะคนเข้าใจผิดกันมาก เรื่องแรกคือ การลดสัดส่วน ความจริงก็คือไม่มีกีฬาไหนช่วยลดสัดส่วน/ น้ำหนักค่ะ เพราะการที่น้ำหนักของเราจะลดหรือเพิ่ม 80% มาจากอาหารที่เรากิน (ในหนังสือวิทยาศาสตร์ความอ้วน บอกว่าอาหารรับผิดชอบ 95% ของน้ำหนักตัวด้วยซ้ำ)
ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร อาหารเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในเรื่องของการลดน้ำหนักและสัดส่วนโดยรวม
เรื่องที่สองคือ การกระชับสัดส่วน การออกกำลังกายทั้งโยคะและเวทเทรนนิ่งช่วยได้มากในเรื่องการกระชับสัดส่วน เพราะนึกถึงว่าถ้าเราคุมอาหารอย่างเดียวแล้วไม่ออกกำลังกายเลย หุ่นที่ได้ก็จะดูเหลวๆ ไม่เฟิร์มกระชับ
ดังนั้นถ้าอยากได้รูปร่างที่กระชับสมส่วน ก็แนะนำว่าควรทำควบคู่กันทั้งการคุมอาหาร และการฝึกโยคะค่ะ แล้วการออกกำลังกายอย่างโยคะและเวทเทรนนิ่งก็จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อ (มากน้อยขึ้นอยู่กับระดับหนักเบาในการฝึก) ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น ช่วยลดสัดส่วนด้วยอีกทางหนึ่งค่ะ
ส่วนคาร์ดิโอ ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน สร้างเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ แต่หลักๆ ที่ช่วยลดสัดส่วนก็คืออาหารอยู่ดี ต้องปรับพฤติกรรมการกินให้ดีด้วยถึงจะได้ผล แล้วถ้าฝึกเต้นแอโรบิกก็จะช่วยกระชับสัดส่วนได้เหมือนกันค่ะ
อย่างโยคะเอง แม้จะไม่ได้ช่วยเรื่องการลดสัดส่วนโดยตรง แต่โยคะจะได้ประโยชน์ในเรื่องอื่นอีกหลายเรื่อง เช่น สุขภาพร่างกายภายในดี ดีกับคนเป็นภูมิแพ้ กระตุ้นการสร้างภูมิต้านทาน ลดอาการปวดเมื่อย ช่วยให้ระบบฮอร์โมนสมบูรณ์แข็งแรง ช่วยเรื่องความอ่อนเยาว์ ทำให้กล้ามเนื้อดูเรียวยาวกระชับ บุคลิกภาพดี ผิวดี สุขภาพจิตดี เยอะแยะมากมาย
ดังนั้นลองพิจารณาดูว่าตอนนี้เราให้ความสำคัญกับเรื่องไหนเป็นพิเศษ แล้วก็ปรับตารางการออกกำลังกายของเราให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงค่ะ
การออกกำลังกายหนักก็อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีเสมอไปในเรื่องการลดน้ำหนัก เพราะบางคนยิ่งออกเยอะ ยิ่งกินคืนเยอะ เน้นออกกำลังกายปานกลางแต่ทำได้สม่ำเสมอ แล้วปรับพฤติกรรมการกินไปด้วย น่าจะไม่ทรมานเกินไป และทำได้ยั่งยืนกว่าค่ะ
*ขอแชร์เรื่องที่เพิ่งอ่านมา เกี่ยวกับคาร์โบไฮเดรตขัดสี (แป้งขัดสีพวกเส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เส้นพาสต้า เค้ก ขนมหวานทั้งหลาย) ปัญหาหลักของแป้งขัดสี คือเมื่อทานเข้าไปแล้วฮอร์โมนที่กระตุ้นความอิ่มตามธรรมชาติของร่างกายจะไม่ทำงาน
เหตุผลเพราะว่าแป้งขัดสีไม่ใช่อาหารตามธรรมชาติ แต่เป็นอาหารที่ผ่านการแปรรูปมา เหมือนร่างกายยังไม่รู้จักสิ่งนี้ ทำให้ร่างกายเราเสพติดได้ง่าย เราเลยจะเผลอกินมันในปริมาณเยอะๆ อยู่บ่อยๆ ค่ะ
จริงๆ ทุกกีฬาและแม้แต่ในชีวิตประจำวันเรามีอาการหาวได้เหมือนกันหมดเลยค่ะ เรื่องนี้ตอนแรกกวางเข้าใจว่าเป็นภาวะ Oxygen debt (ภาวะเป็นหนี้ออกซิเจน) คือออกซิเจนในกระแสเลือดมีน้อยกว่าที่ควร เราเลยหาว แต่อาการออกซิเจนในกระแสเลือดน้อยนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัวอะไรนะคะ และเราสามารถเทรนร่างกายของเราให้รับออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือดเพิ่มขึ้น หรือสามารถสันดาปออกซิเจนได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้ด้วยการออกกำลังกายบางประเภท เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง เดินเร็ว หรือการฝึกปราณยมะ แต่ทั้งนี้แม้จะสามารถนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหนก็ไม่ได้แปลว่าเราจะหาวน้อยลงนะคะ แป่ว
เพราะพอหาข้อมูลเพิ่มก็พบว่ามีปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการหาวอื่นๆ อยู่อีก และทุกอันก็ไม่สามารถฟันธงได้ เป็นวิทยาศาสตร์แบบที่ยังล้มล้างทฤษฎีกันไปมาอยู่ เลยบอกได้แค่ว่ายังไม่มีข้อสรุปชัดเจนค่ะว่าทำไมเราถึงหาว
ทฤษฏีอื่นๆ คร่าวๆ ก็เช่น การหาวอาจจะเป็นวิธีการที่ช่วยลดอุณหภูมิในสมอง/ การหาวอาจจะเชื่อมโยงกับจังหวะรอบวัน (Circadian Rhythm) เป็นพฤติกรรมที่ใช้บอกเราว่าถึงเวลาที่ควรนอน หรือตื่นนอนได้แล้ว/ การหาวเป็นสัญญาณที่ช่วยบอกให้คนอื่นรู้ว่าคนที่หาวนั้นอาจจะเหนื่อย หรือเครียดเกินไป สมควรให้คนนี้ไปพักผ่อนได้แล้ว
แต่โดยส่วนตัวกวางชอบทฤษฎีเรื่องเป็นหนี้ออกซิเจนมากที่สุด เพราะเป็นทฤษฎีที่ใช้อธิบายอาการหาวในคลาสปราณยมะ ทั้งที่กวางเรียนที่ไทย และในหนังสือปราณยมะของต่างประเทศก็ให้เหตุผลแบบเดียวกัน เนื่องจากในคลาสปราณเราใช้พลังงานออกซิเจนกันเยอะในการฝึก แล้วกวางก็รู้สึกว่าตัวเองหาวตลอดเวลา เลยคิดว่าเป็นไปได้ที่ร่างกายใช้ออกซิเจนเยอะ จนออกซิเจนไม่พอเป็นพักๆ ทำให้หาวตลอดช่วงเวลาที่ฝึกค่ะ
ฝึกเวลาที่เราสะดวก (ไม่ได้กวนโอ๊ยน้าา) แต่มีเวลาที่ไม่แนะนำอยู่ค่ะ คือเนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อน โดยมากจะไม่นิยมให้ฝึกช่วงกลางวัน เพราะช่วงที่อากาศร้อนอาจทำให้ความดันขึ้นสูงและทำให้ปวดหัวได้
ในสมัยก่อนจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เค้าเรียกว่าศิวะยาม คือเวลาประมาณตีสี่ ถือเป็นช่วงเวลาศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะสำหรับการฝึกโยคะและปฏิบัติภาวนา ถ้าถามว่าเวลาไหนที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นเวลานี้ (แต่กวางก็ไม่ตื่นนะคะ )
อีกช่วงเวลาที่ไม่แนะนำให้ฝึกคือหลังสองทุ่ม เพราะใกล้เวลานอน หลังออกกำลังกายเราควรจะมีช่วงเวลาให้ร่างกายได้คูลดาวน์ เพื่อให้อุณหภูมิในร่างกายและการเต้นของหัวใจกลับมาเป็นปกติ ซึ่งแต่ละคนก็ใช้เวลามากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่สภาพร่างกาย
หรือบางคนก็อาจจะไม่มีผลเลยก็ได้ แบบออกกำลังกายเหนื่อยๆ หัวถึงหมอนปุ๊บหลับทันที ถ้าอย่างนี้ก็คงไม่มีปัญหา อันนี้ก็ต้องลองสังเกตตัวเองดู
แต่ถ้าแนะนำแบบเซฟๆ เลยคือ ถ้าจะฝึกโยคะหลังสองทุ่มก็ไม่ควรฝึกหนักมาก แล้วก็อาจจะเว้นกลุ่มท่าแอ่นที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวซึ่งอาจทำให้นอนหลับยากได้ในบางคน นอกเหนือจากนี้ก็ตามสะดวกได้เลยค่ะ
อย่างวิดิโอในยูทูปที่มีคนถามว่าต้องฝึกตอนเช้าตามชื่อวิดิโอเลยมั้ย ความจริงคือไม่จำเป็นค่ะ ที่กวางตั้งชื่อไว้เพื่อให้ง่ายต่อการเลือกฝึก ซึ่งจริงๆ จะใช้ฝึกเวลาไหนก็ได้ ยกเว้นช่วงก่อนนอนที่กวางจะตั้งใจเลือกท่าที่ช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้หลับได้ง่ายขึ้นมาแล้วเท่านั้นเองค่ะ
อาการปวดหัวเกิดได้จากหลายสาเหตุค่ะ เราอาจจะต้องลองสังเกตพฤติกรรมของตัวเองทั้งก่อนฝึกโยคะและระหว่างฝึกโยคะดู
พฤติกรรมก่อนฝึกโยคะที่อาจนำไปสู่อาการปวดหัว เช่น เราดื่มน้ำน้อยเกินไปมั้ย เพราะสัญญานเริ่มแรกของอาการขาดน้ำก็คือปวดหัว (คอแห้ง ปากแห้ง อ่อนเพลีย) ยิ่งถ้าในคลาสเรามีการฝึกที่ค่อนข้างหนัก อากาศร้อน ร่างกายมีเหงื่อออกมาก ถ้าเราดื่มน้ำไม่พอก็อาจทำให้ปวดหัวได้ง่ายขึ้น หรือบางคนไม่ได้ทานอะไรเลย มีอาการหิว น้ำตาลตกแล้วมาฝึกโยคะ ก็อาจทำให้ปวดหัวได้เช่นกันค่ะ
พฤติกรรมระหว่างฝึกที่สังเกตได้ เช่น บางครั้งเราอาจจะเผลอกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว เราเกร็งหรือฝืนในการเข้าท่าบางท่ามากเกินไป โดยเฉพาะท่าที่ใช้กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ ซึ่งถ้าเราเผลอไปเกร็งส่วนนั้นมากก็อาจมีผลทำให้เราปวดหัวได้
ดังนั้นก่อนการฝึกโยคะและระหว่างฝึกก็หมั่นเช็กร่างกายตัวเอง เติมน้ำให้เพียงพอ ถ้าหิวมากก็หาอะไรเบาๆ ทานก่อนเข้าคลาสสักนิด ทั้งนี้ก็ต้องสังเกตร่างกายตัวเองอยู่เสมอค่ะ
การเติมน้ำให้กับร่างกายก่อนฝึกโยคะก็ไม่แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ ก่อนเข้าคลาสในทีเดียว เราควรเตรียมดื่มน้ำมาล่วงหน้าสัก 30 นาทีเป็นอย่างน้อย แล้วก่อนเข้าคลาสสัก 30 นาทีก็งดน้ำหรือดื่มแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดอาการจุกระหว่างฝึกด้วยค่ะ
อย่างแรกที่หลายๆ คนอาจจะเข้าใจผิดคือ โยคะอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับการรักษาอาการบาดเจ็บ เพราะเมื่อร่างกายของเรามีอาการบาดเจ็บ คนที่จะช่วยรักษาและฟื้นฟูร่างกายของเราให้กลับมาเป็นปกติได้ตรงที่สุดคือนักกายภาพบำบัดค่ะ
อาการบาดเจ็บที่เราเคยได้ยินกัน ไม่ว่าจะเป็นกระดูกหลังเสื่อม หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท หรือแม้แต่อาการผิดปกติบางอย่างที่อาจรบกวนการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเป็นแล้วก็ควรจะปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อหาแนวทางการรักษาค่ะ (ย้ำว่าคืออาการบาดเจ็บนะคะ ไม่ใช่อาการปวดเมื่อยตึงทั่วไป)
อย่างโดยปกติถ้ามีเคสที่มีอาการบาดเจ็บลักษณะนี้เข้ามาเป็นนักเรียนของกวาง ทั้งที่เคยบาดเจ็บมาก่อน (แล้วยังไม่เคยตรวจกับนักกายภาพฯ) หรือกำลังบาดเจ็บอยู่ กวางมักจะส่งเคสต่อให้นักกายภาพบำบัดก่อนเป็นอันดับแรก
ซึ่งเมื่อถึงมือนักกายภาพบำบัดแล้วเค้าก็จะมีขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยที่ละเอียด ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของอาการบาดเจ็บได้ชัดเจนขึ้น ว่าอาการบาดเจ็บที่เป็นนั้นเกิดจากอะไรกันแน่(บางทีก็ไม่ตรงกับที่เราคิดในตอนแรก) บาดเจ็บอยู่ในระดับไหน และมีวิธีการรักษาอย่างไร
ถ้าไม่ได้เป็นอะไรมาก เค้าก็อาจจะส่งกลับมาฝึกโยคะพร้อมมีคำแนะนำให้นิดหน่อยว่าท่าไหน องศาไหน ที่ให้ทำด้วยความระมัดระวัง หรือท่าไหนให้เว้นไปก่อน
หรืออย่างในบางรายเมื่อนักกายภาพฯ เช็กแล้วพบว่ากล้ามเนื้อยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ หรือกล้ามเนื้อส่วนที่เคยบาดเจ็บยังไม่แข็งแรงพอที่จะกลับมาออกกำลังกายแบบปกติได้ นักกายภาพฯ ก็อาจจะบอกให้พัก หรือจัดท่าบริหารที่เหมาะสมกับระดับของอาการให้โดยเฉพาะ แล้วเมื่อบริหารจนร่างกายแข็งแรงขึ้นถึงระดับนึง พร้อมที่จะออกกำลังกายแบบปกติแล้ว นักกายภาพฯ ถึงจะส่งนักเรียนคืนมาให้กวาง
ดังนั้นจะเห็นว่าเราทำงานร่วมกันตลอด ถ้ามีอาการบาดเจ็บมา การมีนักกายภาพฯ ดูแลในช่วงแรกเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ ค่ะ เพราะอาการบางอย่างก็แก้ไม่ได้ด้วยการออกกำลังกาย และนักกายภาพฯ ยังคอยแนะนำเราได้ในหลายๆ เรื่อง ทั้งการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การดูแลตัวเอง สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนควรเลี่ยง
อาการบาดเจ็บหลายๆ อย่างมีรายละเอียดในตัวอาการที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเช็กได้ รักษาได้ รวมถึงแนะนำได้อย่างแม่นยำ เพราะบางอย่างถ้าพลาดพลั้งทำผิดก็จะเป็นอันตรายกับตัวเราเองด้วย ซึ่งนักกายภาพฯ ก็เป็นคนดูแลในส่วนนั้นค่ะ
ส่วนโยคะให้มองว่ามันเป็นการออกกำลังกายปกติที่ช่วยให้ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้น สุขภาพโดยรวมดีขึ้น มองแบบนี้ก็จะเห็นความแตกต่างค่ะ กายภาพบำบัดช่วยรักษา โยคะคือการออกกำลังกาย มองแบบนี้เราจะได้ไม่สับสน
มีนักเรียนกวางหลายคนที่ฝึกโยคะควบคู่ไปกับการทำกายภาพฯ (ตามคำแนะนำของนักกายภาพฯ) หลายคนบาดเจ็บมาตั้งแต่แรก แล้วก็พบว่าการทำควบคู่กันช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ไวกว่า หรือบางคนฝึกๆ ไปก็เริ่มเห็นว่ากล้ามเนื้อที่ติดอยู่นั้นไม่ได้ติดธรรมดา แต่เป็นพังผืดที่เกิดจากการอักเสบซ้ำๆ จากการใช้งาน ก็ต้องใช้กายภาพฯ ช่วยเพื่อแก้อาการเฉพาะจุดตรงนั้นเพิ่ม ซึ่งก็ต้องค่อยๆ แก้ไป ยิ่งเราใช้ร่างกายแบบผิดๆ มาหลายปี การจะปรับให้ดีขึ้นก็ใช้เวลานานเป็นธรรมดา ทำใจสบายๆ ทำไปเรื่อยๆ ค่ะ
กวางเลยมักจะบอกนักเรียนทุกคนเสมอว่า ไม่อยากให้คิดว่าโยคะเป็นศาสตร์ที่ดีที่สุดเพียงหนึ่งเดียว เพราะมันไม่มีอะไรดีที่สุดหรอก ทุกศาสตร์มีข้อดีกันคนละอย่าง การรู้จักผสมผสานและใช้ประโยชน์จากแต่ละศาสตร์จึงสำคัญที่สุด ทั้งโยคะ นวด กายภาพฯ ดูแลร่างกายแบบผสมผสาน ทำควบคู่กันไป น่าจะเป็นคำตอบที่ตรงที่สุดในความเห็นของกวางตอนนี้ค่ะ
ข้อนี้ตอบยากค่ะเพราะขึ้นกับหลายปัจจัย
ขึ้นอยู่กับชีวิตประจำวันว่าเราใช้งานร่างกายยังไง อย่างถ้าเรานั่งทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันแต่มาออกกำลังกายแค่ 15 นาที มันก็อาจจะพอยืดได้แต่ใช้เวลานานหน่อย เพราะระยะเวลาในการใช้งานร่างกายกับเวลาที่เรามาฝึกมันไม่สมดุลกัน ซึ่งถ้าเราสามารถเพิ่มเวลาการฝึกขึ้นอีกสักนิดให้สมดุลกับการใช้งานร่างกายของเรามากขึ้นได้ ร่างกายก็อาจจะยืดหยุ่นได้ไวขึ้นค่ะ
ขึ้นอยู่กับกรรมพันธ์ุของเราว่าเป็นคนที่ข้อต่อชิดมั้ย บางคนฝึกหลายปีก็ไม่ค่อยยืดเพราะโดยกรรมพันธ์ุเป็นคนที่ข้อต่อชิด ทำให้ร่างกายยืดหยุ่นได้น้อยโดยธรรมชาติ ยิ่งใช้งานร่างกายสะสมมานานก็อาจจะลงยากหน่อย กลับกันบางคนฝึกอาทิตย์เดียวลงเลยก็มี ขึ้นอยู่กับต้นทุนทางร่างกายที่แตกต่างกันค่ะ เค้าถึงได้มีคำกล่าวว่า ฝึกไปจนกว่าจะลืมว่าเคยถามคำถามนี้ ลืมเมื่อไหร่เมื่อนั้นก็ลงได้เองละค่ะ
อีกอย่างนึงที่ตอบได้คือ ฝึกดีกว่าไม่ฝึกแน่นอน เพราะอย่างน้อยส่วนที่ตึงก็จะคลายออก ส่วนที่เมื่อยก็จะหายเมื่อย และตราบใดที่เรายังใช้งานร่างกายอยู่ เราก็ควรที่จะออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้คงอยู่กับเราไปตลอด
ค่อยๆ ทำ ทำได้น้อยก็ฝึก ทำได้มากก็ฝึก เน้นที่ได้ออกกำลังกาย ได้ดูแลร่างกายตัวเองในทุกๆ วัน ความเสื่อมถอยก็จะเกิดกับเราช้าลงเรื่อยๆ ค่อยๆ ไปนะคะ 😊