ทำไมฝึกโยคะแล้วภูมิต้านทานดี – ป่วยแล้วหายไว


ในช่วงที่เราต้องอยู่กับ COVID-19 กวางเห็นหลายคนตื่นตัวกับการออกกำลังกายมากขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงทำให้เรามีภูมิต้านทานที่ดี ช่วยลดความเสี่ยงและความรุนแรงจากการติดเชื้อได้

หลายคนเริ่มหันมาสนใจโยคะ แต่ก็สงสัยว่าโยคะที่ดูเหมือนเป็นการฝึกสร้างความยืดหยุ่นนี้ จะช่วยสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้เหมือนกับกีฬาอื่นๆ มั้ย?

คำตอบคือ โยคะเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ค่ะ

แต่ก่อนที่เราจะไปอธิบายถึงเหตุผลกัน กวางอยากขอเล่าก่อนว่า “การออกกำลังกายเป็นเพียงส่วนหนึ่ง” ในการช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับตัวเรา แล้ววันนี้กวางก็อยากจะมาแชร์ว่าส่วนอื่นๆ ที่สำคัญมีอะไรบ้าง เราจะได้ลองปรับพฤติกรรมบางอย่างให้ดีขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตในช่วงเวลานี้ค่ะ

1. การนอนหลับพักผ่อนที่มีคุณภาพ

ช่วงเวลาของการนอนหลับเป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายหลั่งสารและฮอร์โมนที่สำคัญมากมาย ช่วยปรับสมดุลของระบบต่างๆ ในร่างกาย ช่วยฟื้นฟูสมอง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

คนที่นอนไม่พอจะสังเกตได้เลยถึงผลกระทบที่มีต่อร่างกายและจิตใจ ทำให้ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน ความสามารถในการเรียนรู้ช้าลง เครียดง่าย อ้วนง่ายกว่าปกติ ภูมิคุ้มกันลดระดับ ทำให้ความสามารถของร่างกายในการต้านทานเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสนั้นลดลง ซึ่งเมื่อร่างกายเสียสมดุลต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ก็อาจนำไปสู่โรคภัยที่ร้ายแรงขึ้นได้ด้วย

“มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกที่มีอาการนอนไม่พอ”

เป็นคำกล่าวที่ทำให้ฉุกคิดได้เหมือนกันว่า เออ ท่าจะจริงเพราะหมาแมวที่บ้านนี่นอนกันทั้งวันเลย โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใหญ่ต้องการการนอนหลับที่เพียงพอราวๆ 6-8 ชั่วโมง และถ้านอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงจะถือว่านอนไม่พอ แต่ทั้งนี้การนอนเยอะบางทีก็ไม่เท่ากับการนอนที่มีคุณภาพค่ะ บางคนนอนเยอะแต่หลับไม่สนิท หลับไม่มีคุณภาพ อันนี้ก็ไม่ดีเหมือนกัน

ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการศึกษาวิจัยกันมาเยอะ ดังนั้นสำหรับคนที่สนใจกวางจะขอฝากลิงค์ไว้ให้ไปอ่านเพิ่มเติมกัน ในนี้จะบอกด้วยว่าการนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นอย่างไรรวมถึงแนะนำวิธีด้วยค่ะ ลองดูลิงก์ในคอมเมนต์นะคะ

ยิ่งช่วงนี้ที่หลายคน WFH และไม่ได้ต้องเสียเวลาเดินทางไปออฟฟิศกันแล้ว ก็อยากจะชักชวนให้ทุกคนหาเวลานอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับตัวเราค่ะ (เอาแบบพอดีๆ นะคะเพราะมากไปก็ไม่ดี)

เคล็ดลับสำหรับคนนอนไม่ค่อยหลับ 

ส่วนใครที่นอนไม่ค่อยหลับแล้วมีความรู้สึกกระวนกระวายตอนนอน กวางมีเคล็ดลับนึงที่ได้เรียนรู้มาจากตอนไปปฏิบัติธรรมคือ ในวันที่เรานอนไม่ค่อยหลับ โดยปกติใจคนเราจะรู้สึกกระวนกระวายว่าดึกแล้วทำไมยังไม่หลับอีก ซึ่งพอเป็นแบบนั้นตอนเช้าตื่นมาจะรู้สึกว่านอนไม่พอ

แต่กวางสังเกตได้ว่าในช่วงที่ไปปฏิบัติธรรมมีหลายวันที่ร่างกายเราได้พัก แต่จิตยังคงตื่นอยู่ ซึ่งเวลาแบบนั้นถ้าเราปล่อยใจสบายๆ ไม่ไปคิดวิตกกังวลว่าทำไมไม่หลับสักที ทำความเข้าใจใหม่ว่ายังไงตอนนี้ที่นอนอยู่บนเตียงร่างกายก็ได้พักผ่อนแล้ว ส่วนจิตจะตื่นอยู่ก็ไม่เป็นไร เข้าใจและวางใจให้ถูก พอทำแบบนี้ได้ตอนเช้าตื่นมาก็จะรู้สึกสดชื่นเป็นปกติ เหมือนร่างกายได้พักผ่อนเพียงพอ

เพราะเมื่อร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ร่างกายก็จะได้รับประโยชน์จากการนอนนั้นอย่างเต็มที่ค่ะ

2. ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

เรื่องอาหารเป็นเรื่องที่ปัจเจกมากๆ แต่ก็เน้นทานของมีประโยชน์ และคอยสังเกตร่างกายตัวเองด้วยว่าเมื่อทานเข้าไปแล้วส่งผลกับร่างกายยังไงบ้าง อย่างช่วงนี้ที่อากาศร้อนสลับฝนตก ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารทอดแห้งที่ทำให้ร่างกายร้อนขึ้น และของหวานที่อาจจะกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย หันมาทานอาหารที่ดีกับสุขภาพกันสักระยะ

ถ้าเป็นของชอบแบบทุเรียนก็ทานแบบพอดี 😜 รวมถึงดื่มน้ำมากๆ (ควรเป็นน้ำไม่เย็น จิบทั้งวัน) เพื่อช่วยลดอุณหภูมิให้กับร่างกาย ช่วยให้ตัวเย็นลงได้ อย่างกวางเองช่วงนี้ก็เพิ่มปริมาณการดื่มน้ำ จากสองขวดใหญ่ก็เป็นสามขวดใหญ่ อาจจะเข้าห้องน้ำบ่อยหน่อย แต่เพราะเป็นคนตัวร้อนง่ายมาก เลยต้องรักษาอุณหภูมิร่างกายไม่ให้ร้อนเกินไปค่ะ

3. การจัดการความเครียด

จากงานวิจัยทางการแพทย์พบว่า 90% ของความเจ็บป่วยที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันไม่ทำงานหรือทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพนั้น มีสาเหตุมาจากความเครียด เวลาเราเครียดสะสมเป็นเวลานานๆ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ออกมาในปริมาณมาก ซึ่งจะไปกดภูมิคุ้มกันของเราไม่ให้ทำงานได้เต็มที่ ทำให้เรามีโอกาสป่วยได้ง่ายขึ้น

เพราะทุกวันนี้เราอยู่กับความคิดที่แล่นไปมาไม่เคยหยุด การได้กลับมาอยู่กับตัวเอง มาอยู่กับลมหายใจอย่างมีสติ ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการทำสมาธิเหมือนกัน ซึ่งก็มีงานวิจัยมากมายที่ออกมาบอกว่าการทำสมาธิแค่เพียงวันละ 20 นาที ช่วยเพิ่มฮอร์โมนความสุข (สารเอ็นโดรฟิน) และลดฮอร์โมนความเครียดได้

เมื่อใจของเรามีความสงบผ่อนคลาย สุขภาพร่างกายที่ดีก็จะตามมาค่ะ

ถ้าใครเป็นมนุษย์ที่อยู่เฉยๆ ไม่ค่อยเป็นเหมือนกวาง บางทีเราอาจจะต้องจัดสรรเวลาให้ตัวเองได้นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ บ้าง แค่มองฟ้า มองน้ำ มองต้นไม้ ไม่เล่นมือถือ ไม่อ่านหนังสือ ไม่เอาข้อมูลไกลตัวใส่หัว แล้วอยู่กับช่วงเวลานั้น อยู่กับลมหายใจนั้นสักพักนึง เท่านี้ก็ทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นได้แล้ว ฟังดูไม่ยากใช่มั้ยคะ อย่าลืมเอาไปลองทำกันนะ 🍄

4. การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ

โยคะขึ้นชื่อในเรื่องของการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายมายาวนาน อย่างโยคีในสมัยก่อนเองก็ฝึกโยคะเพื่อที่จะบำบัดรักษาตัวเองในยามที่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่าเขาที่ห่างไกลความเจริญ โยคะจึงเป็นศาสตร์ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้ผู้ฝึกมีสุขภาพร่างกายที่ดี เพื่อช่วยเอื้อต่อการปฏิบัติธรรมอีกทางหนึ่ง

ในการฝึกโยคะเราจะได้ฝึกการหายใจลึกยาว ควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวอย่างมีสติ ซึ่งทำให้ร่างกายของเรามีความแข็งแรง และช่วยให้ร่างกายและจิตใจของเราเกิดความสงบผ่อนคลาย ส่งผลให้ฮอร์โมนความเครียดลดลง และฮอร์โมนความสุขเพิ่มขึ้น อย่างใครที่นอนหลับยาก ลองฝึกโยคะเบาๆ ยืดเหยียดก่อนนอนก็จะช่วยให้นอนหลับสบายขึ้นด้วย

 ภูมิต้านทานกับระบบน้ำเหลือง 

ประโยชน์อีกข้อของโยคะคือ เป็นการฝึกที่กระตุ้นการทำงานของระบบน้ำเหลืองโดยตรง หน้าที่ของระบบน้ำเหลืองคือ ช่วยปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค เมื่อเชื้อโรคผ่านเข้ามาในร่างกาย ระบบน้ำเหลืองก็จะคอยดักจับสิ่งแปลกปลอม และกำจัดเชื้อโรคเพื่อไม่ให้กระจายตัวจนเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ซึ่งส่งผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอย่างแทบจะเป็นเรื่องเดียวกัน

 การเคลื่อนที่ของน้ำเหลือง 

ต่อมน้ำเหลืองจะอยู่ตามส่วนที่เป็นข้อพับในร่างกาย เพราะน้ำเหลืองไม่เหมือนกับเลือด เลือดเนี่ยมีหัวใจคอยบีบทำให้เลือดสามารถไหลเวียนไปได้ทั่วร่างกาย แต่น้ำเหลืองไม่มีหัวใจคอยบีบเหมือนเลือด ดังนั้นจะให้มันเคลื่อนไหวได้มันจึงต้องไปอยู่ตามข้อพับเพราะเป็นจุดที่คนจะขยับ พอเราขยับมันก็เกิดการบีบให้เคลื่อนไหวไปตามส่วนต่างๆ

ดังนั้นเราจะเห็นว่าต่อมน้ำเหลือง (ซึ่งมีอยู่ประมาณ 600 ต่อมทั่วร่างกาย) จะกระจุกอยู่ตามแถวขาหนีบ หน้าท้อง ใต้รักแร้ ข้างลำคอ ซึ่งเป็นจุดที่มีการขยับได้บ่อย

น้ำเหลืองโดยปกติจะเคลื่อนไหวช้ามาก อย่างถ้าเราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ขยับตัว จะให้น้ำเหลืองเดินทางจากใต้รักแร้ไปปลายนิ้วของเราเนี่ยใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง แต่ถ้าเราแค่ขยับแขนวาดขึ้นลง (เหมือนที่เราทำในการฝึกโยคะ) น้ำเหลืองก็จะแล่นไปสู่ปลายนิ้วได้ทันทีเลย

เราจึงจะเห็นว่าผู้ป่วยที่นอนติดเตียงและไม่ค่อยได้ขยับตัว เลยมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับน้ำเหลืองไม่ดีกัน แต่ถ้าเราได้มาขยับตัวออกกำลังกาย เราก็จะช่วยกระตุ้นให้นำ้เหลืองไหลเวียนดี สุขภาพของเราก็จะดี

 โยคะกับระบบน้ำเหลือง 

น้ำเหลืองจะเคลื่อนไหวได้ดีเมื่อมีการหด และคลายตัวของกล้ามเนื้อ เช่นเวลาที่เราค้างในท่าโยคะท่าใดท่าหนึ่งแล้วคลายออกจากท่า จังหวะนั้นแหละที่น้ำเหลืองถูกบีบให้เคลื่อนไหว ดังนั้นท่าต่อเนื่องอย่างสุริยนมัสการจึงมีประโยชน์มากในการเพิ่มการไหลเวียนของน้ำเหลืองในร่างกาย ช่วยเพิ่มความสามารถในการกำจัดของเสียและสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย และเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเราโดยรวม

นอกจากนี้ท่าโยคะยังมีการเคลื่อนไหวหลากหลายทิศทาง ทั้งการก้ม บิด เอียง แอ่น ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เลือดและน้ำเหลืองไหลเวียนไปสู่อวัยวะน้ำเหลือง เช่น ม้าม และต่อมไทมัสได้ด้วย เลือดที่เต็มไปด้วยออกซิเจนนี้ก็ช่วยให้อวัยวะส่วนนั้นทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อสุขภาพของเรา

ข้อดีอีกอย่างนึงคือ โยคะไม่ใช่การออกกำลังกายที่หนักเกินไป ยิ่งในช่วงนี้ที่ร่างกายต้องการพลังงานในการป้องกันและจัดการกับเชื้อโรค บางทีการออกกำลังกายที่หนักเกินไปบางประเภทก็ทำให้ร่างกายต้องพักฟื้นนาน และในช่วงที่พักฟื้นภูมิคุ้มกันของเราอาจจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เราป่วยง่ายขึ้นได้

ดังนั้นช่วงนี้เน้นออกกำลังอย่างพอเหมาะ ไม่หักโหมจนเกินไปนะคะ 🌈

ปล. แต่ไหนแต่ไรอาจารย์ของกวางท่านจะสอนให้นักเรียนของท่านทุกคนนวดต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ตอนจบคลาสโยคะทุกครั้ง เราเองก็ทำจนชิน ทำแล้วก็เอาไปสอนจนชิน ชิน ก่อนที่เราจะเข้าใจเสียอีกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันดีกับร่างกายยังไง

ก็ต้องขอบคุณอาจารย์ที่ท่านเลือกมาให้แล้วระดับนึงว่าสิ่งไหนที่ดีกับสุขภาพของทุกคน ความรู้จากครูหลายครั้งมันเป็นแบบนั้นจริงๆ คือเหมือนอ่านหนังสือเล่มเดิมแต่ความเข้าใจมันต่างออกไปจากเดิมเสมอ ละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้นตามกาลเวลา…

แบ่งเวลามาฝึกโยคะด้วยกันนะคะ

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top
Scroll to Top