เธอเหมือนบ่อน้ำที่แห้งผากที่ใช้พลังไปจนหมดสิ้น เธอได้ดูแลจัดการสิ่งต่างๆ และได้ดูแลผู้คนรอบข้างอย่างเต็มที่แล้ว ถึงเวลาที่ต้องกลับมาดูแลตัวเอง..
“it is time to take a nap” – ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว
คือชื่อไพ่ที่กวางจับได้ และด้านบนเป็นส่วนหนึ่งของข้อความที่ไพ่สื่อถึง
นี่คือเรื่องราวของเมื่อ 2 เดือนก่อนหน้า เป็นช่วงเวลาที่กวางรู้สึกเหมือนเป็นแค่ก้อนโปรตีนที่ไม่มีประจุไฟฟ้าเหลืออยู่ เรียกว่าใช้พลังไปจนหมด หมดเกลี้ยงเลยในการทำสิ่งต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา และทั้งๆ ที่เราใส่พลังไปเต็มที่แล้วแต่งานก็ยังไม่หมด จนได้ฉุกใจคิดว่า นี่เราเดินมาถูกทางแล้วเหรอ
(กวางเล่าเรื่องนี้ในมุมของคนทำงานสร้างสรรค์แบบฟรีแลนซ์และช่วยงานออฟฟิศที่บ้านด้วยนะคะ)
แรกเริ่มเลยเราทำงานเพราะเราอยากมีเวลาพักเยอะๆ เราตั้งใจทำงานหนักเพราะเราอยากเหลือเวลาที่จะได้พักเพื่อเอาสมองมาคิดทำงานสร้างสรรค์ที่เราชอบ แล้วทำไมช่วงที่ผ่านมามันถึงไม่มีเวลาให้เราได้พักแม้ลมหายใจเดียว ต้องทำอะไรผิดอยู่แน่ๆ
จนมีพี่สาวใจดีช่วยจับไพ่ให้ ข้อความที่ได้อ่านจากไพ่เป็นสิ่งที่ทำให้กวางได้ฉุกใจคิดเป็นครั้งแรก
ว่าอ้าว เราพักได้เหรอ นี่เราพักได้จริงๆ เหรอ (แต่งานยังไม่เสร็จนะ)
แต่ช่วงนั้นเราพอรู้ตัวแล้วว่าไม่น่าจะไปต่อไหว ต่อให้ทำงานไปก็คงออกมาไม่ดี หยุดก่อนดีกว่า ลองหยุดดูว่าจะเป็นยังไง
กวางใช้เวลาราวๆ สองสัปดาห์เพื่อเคลียร์งานที่เหลือค้างอยู่ ทั้งงานออฟฟิศ งานส่วนตัว งานคอร์สใหม่ งานคอนโด อันไหนแบ่งให้คนอื่นทำได้ก็แบ่ง อันไหนแบ่งไม่ได้ก็ยืดเดดไลน์ออกไป ถ่างระยะเวลาการทำงานออกให้ทุกอย่างช้าลง ช้าาาาาาลงให้มากที่สุด
แล้วก็ลองหยุดดู
จริงๆ มันยากกว่าที่คิดนะคะ
ตอนช่วงแรกที่หยุด สิ่งที่คิดวนอยู่ในหัวคือ
- หยุดแล้วจะทำอะไรดี?
- เราหยุดได้จริงเหรอ รู้สึกผิด งานจะเสร็จทันมั้ย (เสร็จทันอะไร? ใครเป็นคนกำหนดเดดไลน์? เธอเองไงเล่า! โธ่ บ้าจริง)
สรุปหมดไปแล้วสองอาทิตย์กับการพยายามจะพักที่ไม่ได้พักเลย เพราะเอาแต่พยายามจะพักแบบคนพักไม่เป็น หัวแล่นไปมาตลอดเวลา กลายเป็นว่าต้องมาฝึกตัวเองใหม่ มาค่อยๆ ทดลองเพื่อหานิยามของตัวเองว่า “การพัก” ในความหมายของเราเองคืออะไร อะไรที่มันได้ผลสำหรับเรา
ในไพ่มีประโยคนึงเขียนว่า “go into the state of non-action” – ให้เข้าสู่โหมดอยู่เฉยๆ
พูดง่ายทำยากมาก สำหรับคนแอคทีฟอย่างกวาง พอบอกให้อยู่เฉยๆ รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า เพิ่งรู้ว่าตัวเองบ้าก็ตอนที่สังเกตได้นี่ละค่ะว่าเราเป็นแบบนี้ เราหยุดไม่เป็นจริงๆ มันมากไป ไม่ปกติเลย
เลยได้ลองมานั่งพิจารณาตัวเอง ช่วงนั้นคือทบทวนและคุยกับตัวเองทุกวันเลย ว่าเราหยุดแล้วรู้สึกยังไง เราคิดอะไร เห็นอะไรบ้าง
กวางเลยได้เห็นอะไรหลายอย่างของตัวเองในช่วงที่หยุดนี่ละค่ะ เห็นความกำแน่นของตัวเอง ความคาดหวังที่เกินจริง แล้วยิ่งพอกำแน่นเพราะอยากได้ผลลัพธ์บางอย่างก็ทำให้เรามองเห็นบริบทรอบข้างแคบลงไปอีก เห็นความไม่มั่นคงข้างใน เห็นใจที่แล่นไปข้างหน้าตลอดเวลา ใจที่จะไปคิด ไปทำอันนั้นให้เสร็จ มีแต่ลิสต์งานที่ต้องทำๆๆ ไม่เคยได้อยู่กับปัจจุบันเลย เห็นว่าเราจัดลำดับความสำคัญไม่เป็น หลายเรื่องเลยที่สังเกตตัวเองได้ในช่วงเวลาที่หยุดไป
มีหลายครั้งที่กวางจับตัวเองได้ว่าเราลืมการหายใจไป เหมือนเราหายใจเพื่อวันพรุ่งนี้ ไม่ได้หายใจของวันนี้ และเราไม่ได้มีชีวิตอยู่กับช่วงเวลาตรงนี้เลยเพราะมัวแต่อยู่ในอนาคตตลอดเวลา
เรื่องนี้เป็นข้อสังเกตของกวางเองว่า เวลาที่คนเราจะเปลี่ยน เราไม่ได้ดีดนิ้ว เป๊าะ แล้วมันเปลี่ยนได้ทันที แต่มันจะค่อยๆ เปลี่ยนทีละเรื่อง ทีละมุมมอง ค่อยๆ เปลี่ยนจากการที่เราสังเกตเห็นตัวเองในบางเรื่องได้ชัดขึ้น ถี่ขึ้น และการ “ไม่เคยได้อยู่กับปัจจุบัน” ก็เป็นเรื่องที่กวางสังเกตได้ชัดเจนว่าตัวเองเป็นบ่อยที่สุดในช่วงที่ผ่านมา
ช่วงที่ผ่านมากวางเลยได้ลองอะไรหลายๆ อย่าง ลองแบ่งเวลาเข้าป่าอาทิตย์ละครั้ง ลองนอนตื่นสายหลายๆ วัน ลองดูซีรีส์เกาหลียาวๆ ลองนอนตื่นเช้ามาอ่านหนังสือ กินกาแฟ ลองใช้ชีวิตให้ช้าลง ช้าาาาาลงกว่าที่เคยมากๆ เลื่อนงานทุกอย่างออกไป ทุ่มเวลาให้กับการดูแลเอาใจใส่จิตใจและร่างกายของตัวเอง
พลังมันก็ฟื้นนะคะ
แต่มันเป็นแบบค่อยๆ ฟื้น เหมือนบ่อน้ำที่ค่อยๆ เริ่มมีน้ำซึมขึ้นมาทีละนิด แล้วกวางก็ค้นพบวิธีพักของตัวเองหลายๆ อย่างเลย
- แบ่งเวลาพักในระหว่างวันบ้าง ดื่มด่ำกับกาแฟ เอ็นจอยกับอาหารกลางวันและช่วงพักกลางวันให้เต็มที่ ทำสิ่งที่เรารู้สึกว่าได้พักจริงๆ จะเหม่อมองฟ้า นอนหลับสักงีบ เคี้ยวข้าวนานๆ ก็ตามแต่ใจเรา การเรียนรู้ที่จะแบ่งเวลาพักให้เป็นในระหว่างวันเรื่อยๆ ย่อมดีกว่าใช้พลังจนหมดแล้วไปหาทางกินเที่ยวทีหลัง เพราะอย่างหลังสำหรับกวางไม่ได้ช่วยฟื้นพลังจริงๆ เดี๋ยวก็เหนื่อยใหม่
- เลิกมือถือให้เด็ดขาด ช่วงนี้เป็นช่วงที่กวางเจอเคล็ดลับการเลิกติดมือถือได้ดียิ่งกว่าแอปที่เคยใช้อีกค่ะ คือให้ตั้งคำถามกับตัวเองทุกครั้งที่หยิบมือถือขึ้นมาว่า “เป้าหมายการหยิบมือถือขึ้นมาครั้งนี้คือเพื่อทำอะไร”
กวางพบว่ามันใช้ได้ผลที่สุด คือการมีสติรู้ตัวและหยุดมันด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาแอปนี่ละค่ะ (แต่ไม่ได้ทำได้ตลอดนะคะ ช่วงไหนไม่มีสติก็ยากเหมือนกัน ก็ต้องฝึกค่ะ) และจริงๆ แล้วการที่กวางเครียดแล้วดูมือถือ มันกลับทำให้เครียดเพิ่มขึ้นด้วย อันนี้คือที่สังเกตได้ค่ะ
- แบ่งเวลาไปหาธรรมชาติ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง บางวันกวางก็ขับรถไปกินกาแฟในป่าตอนเช้า บางวันก็ไปนั่งริมอ่างเก็บน้ำตอนเย็นพร้อมผ้าปูกันเปื้อนและลูกชิ้นทอดถุงใหญ่ บางวันกวางก็แค่หาเวลาออกมานั่งหลังบ้านตัวเองที่มีน้ำไหลผ่านและมองเห็นภูเขาไกลๆ แบ่งเวลาให้ตัวเองในเรื่องนี้จริงๆ โดยไม่ผัดผ่อน
- อีกอย่างนึงที่กวางค้นพบและตัดสินใจกับตัวเองในช่วงที่ผ่านมา คือถ้าเป็นไปได้ให้เลือกทำงานที่เราชอบหรือสนใจที่จะทำจริงๆ ก่อน เพราะสุดท้ายงานที่เราไม่ชอบนอกจากจะทำให้เราเสียเวลา ทำได้ไม่ดี เสียพลังชีวิต เสียสุขภาพจิต สุดท้ายจะพาลให้เราเสียเงิน ดังนั้นเลือกทำสิ่งที่เราทำได้ดี มีความสนใจระดับนึง และถ้าเราชอบด้วยก็ยิ่งดีค่ะ
พอกวางทำสี่ข้อนี้อาการก็ดีขึ้นจริงๆ ช่วงสามสัปดาห์หลังกวางก็พักเยอะ แล้วก็มีเริ่มกลับมาทำงานนิดหน่อย โดยตั้งใจว่าจะทำแค่วันละนิดเดียวก่อน แค่ที่ใจเรารับไหว แค่นิดเดียวจริงๆ
แล้วมันก็ค่อยๆ กลับมาทำวันละนิดๆ แต่ถึงแม้จะทำแค่วันละนิด งานมันก็คืบหน้านะคะ เป็นเรื่องที่แปลกใจเหมือนกัน
เลยทำให้ได้เห็นว่าที่ผ่านมาเรามัวแต่อัดตารางตัวเองให้แน่นด้วยเรื่องที่ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น หลายเรื่องเป็นสิ่งที่ทำทีหลังก็ได้ หรือไม่ทำเลยแล้วรอให้คนอื่นตามบ้างก็ได้ แต่เป็นเราเองนี่แหละที่กดดันตัวเอง เหมือนคนบ้าเลยละค่ะ
แล้วตอนนี้พอหันกลับมาใส่ใจทำแค่เรื่องที่สำคัญจริงๆ มันเลยคืบหน้าได้ดี โดยที่ไม่ได้รู้สึกกดดันจิตใจมากมายเหมือนช่วงก่อนหน้า ยอมรับเลยว่าเรายังจัดการความเครียดได้ไม่ค่อยเก่ง กำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้ค่ะ
ตอนนี้กวางเลยยังอยู่ในโหมดที่ไปช้าๆ ยังคงพักไปทำงานไป ค่อยๆ หาสมดุลใหม่ในการทำงานและการใช้ชีวิตของตัวเอง ซึ่งก็ทำให้ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมารู้สึกสบายใจขึ้นและมีความสุขมากขึ้นเยอะเลยจริงๆ ค่ะ
ดีใจที่วันนั้นตัวเองตัดสินใจหยุดพัก กอดตัวเองหนึ่งที หมับ ❤️