ปฏิบัติการตามหาความสุข (ฉบับเมือง)

ทุกอย่างน่าจะเริ่มมาจากการรู้สึกก่อน รู้สึกถึงน้ำหนักของหินที่เราแบกเอาไว้ หินทุกก้อนคือความคาดหวัง

ความคาดหวังต่อตัวเอง
ความคาดหวังต่องาน
ความคาดหวังต่อชีวิต
ความคาดหวังต่อความสัมพันธ์
ความคาดหวังต่อหลายๆ เรื่องว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนี้มันถึงจะดี มันน่าจะต้องเป็นอย่างนี้ ถ้ามันเป็นอย่างนี้ชีวิตเราถึงจะเรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่ดี ที่สมบูรณ์

ทุกอย่างเราสรรค์สร้าง เราปรุงแต่งมันไว้ในใจ เราสร้างอุดมคติของเราเอาไว้ แล้วก็ให้อุดมคตินั้นมาเป็นมาตรวัดในการกำหนดคุณค่าทั้งของชีวิตเรา ของงานเรา ของความสัมพันธ์กับคนรอบข้างของเรา

สังเกตว่ามันมีคำว่า เรา ของเรา เยอะเนอะ ใช่ค่ะ ชีวิตช่วงที่ผ่านมามันหมกมุ่นกับเรื่องของตัวเองมาก มากจนไม่ค่อยมองเห็นเรื่องอื่นๆ ในชีวิต

เหมือนเรากำหนดเสาหลักของชีวิตเราเอาไว้แค่ไม่กี่ต้น แล้วพอเสาแต่ละต้นนั้นมันถูกสั่นคลอน ชีวิตที่เคยวาดฝันไว้ก็เหมือนจะพังลงไปด้วย

อะไรที่เคยคิดว่ามันแน่นอน มันจะคงอยู่ มันก็ทำท่าว่าจะไม่อยู่เสียแล้ว อะไรที่เคยคิดว่ามันควรจะต้องได้แบบนี้สิ มันก็ทำท่าว่าจะไม่ได้เสียแล้ว แล้วแต่ละเรื่องที่ว่ามาเราก็ไปตั้งไว้ว่ามันเป็นเสา มันเป็นแกนของชีวิตเราเสียด้วย มันก็เลยอกหักแรงพอสมควร

พระอาจารย์ที่เคารพท่านก็บอกว่า “เห็นมั้ย มันสอนอนิจจังให้เราอยู่” (ตอนนั้นยังไปงอนท่านเลยนะ ว่าเราทุกข์จะตาย ท่านไม่มีอะไรจะปลอบเลยหรอ 😂)

พอถึงจุดนึงมันก็คิดขึ้นมาได้จากการพูดคุยกับคนใกล้ชิดว่าเราทุกข์เพราะมุมมองเราแคบไปรึเปล่า มันน่าจะเป็นแบบนั้นนะ เพราะคนอื่นที่เค้าเจอเรื่องแย่ๆ แบบเราหรือที่หนักกว่าเราเค้าก็ยังอยู่กันได้ และที่สำคัญหลายคนอยู่อย่างมีความสุขและใช้ชีวิตได้ดีด้วย ดังนั้นมันไม่น่าจะใช่ว่าชีวิตเราแย่แต่เรามองมันไม่ถูกแหงเลย

เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้กวางเริ่มออกไปข้างนอก…

ออกไปทำความรู้จักและมองโลกในมุมที่เราไม่เคยคิดจะไป เพราะปกติกวางเป็นคนชอบอยู่บ้านมากๆ ขนาดที่ตั้งใจทำบ้านให้อยู่สบายเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องออกไปเสียเงินนั่งตามคาเฟ่ข้างนอก แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ครั้งนี้คือการลองออกไปใช้ชีวิตแบบที่เราไม่เคยใช้ดู ไปแบบไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นยังไง ไปแบบเปิดใจรับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราเคยขี้เกียจหรือเคยอิดออดไม่อยากทำ

กฎข้อนึงที่ตั้งไว้ในใจปีนี้เลยคือ ถ้ารู้สึกตัวเมื่อไหร่ว่าอิดออดและไม่อยากทำอะไร จะลุกขึ้นไปทำทันที เป็นการดัดนิสัยตัวเอง

ตั้งแต่ต้นปีมาก็เลยได้ลองทำหลายอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะทำ

ลองออกไปปั่นจักรยานที่สกายเลน โดยเริ่มจากเช่าจักรยานที่สนามปั่นก่อนสองครั้ง แล้วพอรู้สึกว่ามันแพงก็เลยไปขนจักรยานพับจากที่บ้านมาปั่นแทน ทำให้ได้พบว่าสกายเลนเป็นสถานที่ๆ โล่งและปลอดโปร่งจนเราหลงรัก ตอนนี้เลยติดและอยากกลับไปปั่นทุกอาทิตย์

ลองชวนแฟนออกไปนั่งเรือจากท่ามหาราชไปตามจุดต่างๆ ริมแม่น้ำ ทั้งรับลมและออกไปดูสิ่งต่างๆ รายละเอียดเล็กๆ ของกรุงเทพที่เราไม่เคยมอง ไปนอนดูวิวริมน้ำ และดูผู้คน

ลองไปนั่งดูคนที่สถานที่ชิคๆ ที่เค้าไปกันตอนกลางคืนอย่าง The commons สีลม นั่งบนจุดที่สูงที่สุดเพื่ออ่านหนังสือและดูสิ่งที่เกิดขึ้นในสถานที่นั้น

ลองออกไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้านแล้วก็ได้ลองเดินเล่นแถวบ้านเพื่อนย่านสุรวงศ์ ไปเจอร้านขายของเก่าที่อยู่มา 50 ปีที่จัดร้านได้สวยร่มรื่นและมีเทสต์มากๆ จนต้องขอถ่ายรูปมา ได้ฟังคนในร้านเล่าประวัติของร้านให้ฟัง ได้เดินเจอร้านอาหารอินเดีย Himali cha cha & son ที่เคยอยากกินและพบว่ามันอยู่ห่างบ้านเพื่อนสนิทไปประมาณ 100 เมตร

ลองชวนเพื่อนไปกินตวงติ่มซำ ซึ่งเป็นอดีตเชฟของแชงกรีล่า ต่อด้วยการไปนั่งคาเฟ่สั่งเครื่องดื่มมาคนละแก้ว แล้วก็จับพลัดจับผลูโทรชวนเพื่อนมาเพิ่มแล้ววันนั้นก็เป็นวันที่มีความสุขมาก เพราะเราได้คุยกันลึกๆ ถึงเรื่องชีวิตช่วงที่ผ่านมา เรื่องสุขภาพ เรื่องความสนใจและทัศนคติต่อเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นบทสนทนาที่ลึกกว่าทุกครั้งที่เราเคยคุยกันมาในชีวิตที่แสนยุ่งของแต่ละคน

ลองไปเดินดูแหล่งชิคๆ แถวบ้านอย่าง Gump’s ย่านอารีย์ ที่ไม่เคยสนใจจะไป ดูว่ามีร้านอะไรที่น่าสนใจ ที่เค้ามาถ่ายรูปกัน ลองกินของที่ไม่เคยกิน เดินในที่ที่ไม่เคยเดิน

ลองไปเรียนจัดดอกไม้กับเพื่อนสนิท ได้มีเวลายามบ่ายทำงานศิลปะเล็กๆ ที่ได้ทั้งความรู้ ได้ผ่อนคลายและได้ดอกไม้สวยๆ กลับบ้านในราคาที่ย่อมเยา (ใครสนใจลองเสิร์ช Hidden flower นะคะ)

ลองชวนเพื่อนไปฝึกโยคะที่สตูดิโอที่เพื่อนไปกัน แล้วพบว่ามีตลาดกลางถนนสีลมวันอาทิตย์พอดี เลยได้ลองเดินกินอาหารแปลกๆ และนั่งคุยกับเพื่อนยาวถึงบ่าย เป็นบทสนทนาที่สนุก ผ่อนคลาย และมีความหมายกับความสัมพันธ์ระหว่างเรา

ลองไปดูหนังดีที่ House Samyan และได้ออกไปดูวิวบนตึกสามย่านมิตรทาวน์ที่ปลอดโปร่งตอนกลางคืน ไปเดินดูร้านขายอุปกรณ์ทำงานฝีมือ และร้านแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นที่อื่น

ลองทำในสิ่งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ชีวิตมีแบบแผนมากกว่านี้คงไม่คิดจะทำ คือขับรถผ่านแล้วเห็นเค้ามีงานอะไรกันใหญ่โตเลยลองแวะเข้าไปดู แล้วปรากฎว่ามันคืองานเกษตรแฟร์ เลยได้เดินลองกินนู่นนี่ รวมถึงได้เห็นการเต้นเด็ดๆ ตรงเวทีที่ทำให้หัวเราะได้

ลองออกไปเที่ยวเขาใหญ่กับแก๊งเพื่อนแม่ ไปนั่งคาเฟ่ ไปดูว่าคนวัยเกษียณเค้าคุยอะไรกัน เค้าทำอะไรกัน เค้าสนใจเรื่องอะไรกัน

ลองออกไปเรียนคอร์สที่พาไปสำรวจธรรมชาติของมูลนิธิโลกสีเขียว ได้เจอผู้คนที่น่าสนใจ คนที่ทำอะไรเจ๋งๆ ที่ถ้าเจอกันในบริบทอื่นเราคงรู้สึกว่าเค้าใหญ่โตจัง แต่พอพบกันที่นี่ก็รู้สึกว่าเค้าช่างอ่อนน้อมถ่อมตนจนน่าเอาเป็นแบบอย่าง ได้เจอคนที่มีประสบการณ์ที่หลากหลายและได้แบ่งปันประสบการณ์เหล่านั้นรวมถึงมุมมองชีวิตดีๆ ให้แก่กัน

ลองไปเดินงานหนังสือที่จัดที่มิวเซียมสยาม เดินดูวิวทิวทัศน์ฝั่งพระนคร ดูเหล็กดัด ดูประตู ดูลูกกรงระเบียง ดูสถาปัตยกรรมฝั่งเมืองเก่าและไปนั่งกินข้าวบนร้านอาหารที่มีระเบียงสูงริมน้ำ มองเห็นบรรยากาศวัดอรุณฯ ยามค่ำคืน

ฯลฯ

ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำโดยมีความตั้งใจว่าอยากลองมองโลกในมุมใหม่อย่างเป็นรูปธรรม อยากลองออกไปหาว่าอะไรที่ทำให้เรามีความสุขได้บ้าง เราชอบทำอะไร ชอบดูอะไร สนใจเรื่องอะไร

นอกจากกวางจะค้นพบว่าตัวเองชอบดูงานสถาปัตย์สวยๆ ดูตึก ดูรายละเอียดงานออกแบบ กวางยังชอบที่จะเรียนรู้ ถ้าการเที่ยวนั้นได้ทำให้กวางได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นไม่ใช่แค่การผ่อนคลายอย่างเดียว กวางจะมีความสุขมากขึ้น ซึ่งการเรียนรู้นั้นมันไม่ได้ต้องมาเป็นตำราเสมอไป แต่มันอยู่ในทุกสิ่งรอบตัว อยู่ในการสังเกต อยู่ในรายละเอียดซึ่งเราต้องฝึกที่จะมองให้เห็น และฝึกที่จะสงสัยให้เป็น

กวางยังค้นพบอีกว่าช่วงนี้กวางมีความสุขกับชีวิตตัวเองมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

จากที่เคยมีเสาแค่ไม่กี่ต้นในชีวิตแล้วไปยึดติดกับเสาเหล่านั้น ความรู้สึกนั้นมันคลายลงมาก เหมือนเราเริ่มเจอว่ามันมีเรื่องราวอื่นๆ อีกมากมาย มีแง่มุมที่หลากหลาย มีอย่างอื่นที่สามารถนำความสุขมาให้เราได้ที่ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยคาดหวังเสมอไป

ทำให้รู้จักที่จะมองสิ่งเล็กๆ รอบตัวแล้วมีความสุขกับมัน มีความสุขกับช่วงเวลาที่ได้เชื่อมโยงกับผู้คนอย่างมีความหมาย ดื่มด่ำกับทุกขณะที่เราหายใจและใช้ชีวิต ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้เมื่อก่อนเราเคยทิ้งขว้างเพราะมัวแต่มองเป้าหมายใหญ่ๆ หรือจดจ่อแต่กับปลายทางที่ยังมาไม่ถึง

กวางพบว่ากวางหงุดหงิดกับเรื่องเล็กน้อยน้อยลงมาก เพราะพอมันไม่ได้ไปยึดว่าเรื่องนี้ต้องเป็นแบบนี้ ต้องทำแบบนี้ถึงจะถูกต้อง มันก็ไม่มีอะไรให้รู้สึกหงุดหงิดแล้ว ผิดก็ทำใหม่ ไม่ใช่ก็ลองใหม่ มันผ่อนคลายลงมากจนกวางเองยังแปลกใจตัวเอง

ทั้งๆ ที่เราออกไปสัมผัสโลกแบบไม่ได้คาดหวังอะไร แต่สุดท้ายมันก็เข้ามาเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในตัวเราอยู่ดี

“ทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกัน” อย่างที่ใครคนหนึ่งเคยพูดไว้

ลองออกไปสัมผัสโลกด้วยกันมั้ยคะ


Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *