อันนึงที่ชอบคือ Yogaland ซึ่งบางทีเค้าก็จะเชิญครูโยคะชื่อดังๆ มาคุยเกี่ยวกับหลายๆ เรื่องที่น่าสนใจ มีครั้งนึงเค้าชวน Jason Crandell มาออก (เค้าเป็นสามีภรรยากัน) แล้วก็คุยกันถึงเรื่องสุริยนมัสการหรือท่าไหว้พระอาทิตย์
สุริยนมัสการแบบที่คนส่วนใหญ่ฝึกเนี่ยจะเรียกว่า Sun Salutation A หรือ Surya Namaskar A (สุริยนมัสการแบบ a) ซึ่งเป็นชุดท่าต่อเนื่องที่ใช้วอร์มร่างกายตอนต้นคลาสก่อนที่จะไปฝึกท่าโยคะอื่นๆ แล้วสุริยนมัสการตัวนี้ก็มีข้อด้อยอยู่นิดนึงตรงที่มันเป็นชุดท่าที่เน้นการก้มเกือบทั้งหมด
ถ้านับทั้งชุด ท่าก้มจะมีสี่ท่า ในขณะที่ท่าแอ่นจะมีท่าเดียว (จากรูปด้านบน กวางเอามาจากเว็ปของ Jason Crandell เค้าวาดตกท่า อรรถโถมุขสวาสนะหรือ Downward facing dog ไปท่านึงตรงระหว่างท่า 4 กับ 5 กวางไม่แน่ใจว่าทำไม) แล้วเค้าก็เปรียบเทียบว่าอัตราส่วนของก้มกับแอ่นเนี่ยมันเป็น 4:1 ซึ่งอาจดูไม่เยอะ แต่ถ้าเล่นต่อเนื่องกันสิบครั้งก็จะกลายเป็น 40:10
แล้วถ้าเล่นทั้งชีวิตมันจะต่างกันมากมายขนาดไหน?
ทั้งที่โยคะเป็นการฝึกที่เน้นเรื่องสมดุลของร่างกาย แต่ชุดท่านี้กลับไม่สร้างความสมดุลของการก้มและการแอ่นให้เท่าๆ กัน เค้าเลยแนะนำว่าในท่าโยคะที่เราฝึกต่อจากชุดท่านี้ควรจะมีท่าแอ่นผสมเข้าไปด้วยเพื่อช่วยปรับสมดุลร่างกาย
กวางได้ฟังถึงตรงนี้ก็เลยหยุดวิทยุแล้วนั่งนับในหัวว่า เออ แล้วสุริยนมัสการแบบของเรามันก้มกับแอ่นเท่าไหร่หนอ ก็ปรากฏว่าก้มกับแอ่นมันเท่ากันค่ะ 555
แล้วตอนนั้นมันก็เหมือนหลอดไฟสว่างขึ้นมาในหัวว่า อ๋อ ที่อาจารย์เราเรียกสุริยนมัสการแบบที่เราเรียน (และที่กวางใช้สอนอยู่) ว่าแบบปาริปุนามันเพราะอย่างนี้นี่เอง
สุริยนมัสการ กว้างๆ เลยจะมีสองสายค่ะ (แต่คนจะไม่รู้จักสายกวางเท่าไหร่เพราะจะสอนกันอยู่แค่ในอาชรามหรือวัดฮินดูค่ะ ไม่ได้แพร่หลายออกมาข้างนอกมากนัก กวางแค่โชคดีมาเจออาจารย์เลยได้เรียนของสายนี้ค่ะ) คือ
- แบบปาริปุนา(สมบูรณ์, บริบูรณ์) สำหรับวณปรัชญ์หรือนักบวช มี 12 ท่า 18 ขั้นตอน เน้นสร้างความยืดหยุ่นมากกว่า
- แบบอรรถปาริปุนา(กึ่งสมบูรณ์) สำหรับคฤหัสถ์หรือคนทั่วไป เช่น สุริยนมัสการ A มี 8 ท่า 12 ขั้นตอน และสุริยนมัสการ B ซึ่งเน้นสร้างความแข็งแรงมากกว่า
ของบางอย่างเรียนๆ จำๆ มาก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ทันทีนะคะ แต่พอถึงช่วงเวลาหนึ่งมันก็อาจจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นที่ทำให้เราเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เราเคยเรียนรู้มา ซึ่งส่วนตัวกวางคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดได้ไวขึ้นถ้าเราขยันออกไปหาไปเรียนไปฟังมุมมองที่แตกต่างกันกับของเราเอง ก็เหมือนการที่เรายืนมองสิ่งเดิมๆ ในมุมที่ต่างออกไป หลายๆ ครั้งเราก็จะเข้าใจสิ่งนั้นมากขึ้นค่ะ