สมาธิแบบปิดคือสมาธิขณะหลับตา หรือก็คือการนั่งสมาธิแบบทั่วไป ในทางกลับกันสมาธิแบบเปิดคือสมาธิขณะลืมตา เป็นสมาธิที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เวลาที่เรายืนรอเพื่อน เดินช้อปปิ้ง นั่งทำงาน นอนกลางวัน แม้แต่การฝึกโยคะก็เป็นสมาธิแบบเปิด เพราะเราตามรู้ทุกการเคลื่อนไหว ทุกลมหายใจขณะที่เราฝึก เห็นกายและเห็นจิตทำงานไปพร้อมๆกัน รับรู้ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้น คงอยู่ และดับไป
พอเราเข้าใจมากขึ้น ก็ค้นพบว่าสมาธิแบบเปิดทำได้บ่อยกว่าจริงๆ เพราะทำได้ทั้งวัน ทำตอนฝึกโยคะก็ได้ ทำตอนกำลังจะโกรธน้องก็ได้ ตอนที่กำลังจะซื้อของที่อยากได้แต่ไม่จำเป็นก็ได้
Every action in life is a meditative act
หากเราตื่นขึ้นมาตอนเช้า เราเลือกที่จะลุกจากที่นอนเลย หรือเลือกที่จะนอนต่อ? หากนัดเพื่อนไปทานข้าวตอนเย็น เราเลือกที่จะทานเยอะๆ เพราะไหนๆ ก็สั่งมาเยอะอยู่แล้ว หรือเลือกที่จะทานอย่างพอดี? จิตของเราทุกคนนั้นล้วนรักสบาย และเป็นจิตประเภทสุขนิยม อะไรที่ทำให้มีความสุข ทำให้ชีวิตเราง่ายเราก็มักจะวิ่งหาสิ่งนั้น แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเรากำลังตกอยู่ภายใต้อำนาจของจิตที่อ่อนแอและขาดการฝึกฝน
การฝึกโยคะไม่เพียงเป็นการฝึกร่างกายบนเสื่อเท่านั้น แต่โยคีที่ดีจะนำหลักคิดของโยคะไปใช้ในทุกๆ สถานการณ์ของชีวิต เพราะทุกๆ การกระทำในชีวิตของเราล้วนเป็นการฝึกฝน เป็นการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่จิตที่เข้มแข็งมากขึ้น
ฝึกโยคะนอกเสื่ออย่างแท้จริง
หากเราสังเกตดีๆ เราจะค่อยๆ รับรู้ว่าในหลายๆ ครั้งเราปล่อยให้จิตมีอำนาจเหนือกาย จากการนอนที่เกินพอดี จากการกินที่เกินพอดี จากความเกียจคร้านที่เกินพอดี ในระยะสั้นที่เรายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ร่างกายของเราก็ยังทนไหว ยังไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นมากนัก เพราะระบบต่างๆภายในยังคงทำงานดีอยู่ แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้สะสมมากขึ้นก็คงนำมาซึ่งความเสื่อมของกาย กลายเป็นโรคภัยก่อนวัยอันควรบ้าง เป็นอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ เอ็นและกระดูกบ้าง แท้จริงแล้วร่างกายที่เสื่อมถอย ก็มาจากจิตที่เสื่อมถอยของเราเช่นกัน
เพียงเราเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีสติ ตระหนักว่าในทุกๆ การกระทำของเราสามารถสร้างความเข้มแข็งและความอ่อนแอให้จิตได้ และเลือกทำสิ่งที่จะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งให้จิตของเรา นี่จึงถือเป็นการฝึกโยคะนอกเสื่ออย่างแท้จริง